การพัฒนา ของ ซีเอช-53อี ซูเปอร์สตัลเลียน

ภูมิหลัง

ซีเอช-53 เป็นผลผลิตจากการเฟ้นหาเฮลิคอปเตอร์ขนาดหนักของนาวิกโยธินสหรัฐซึ่งเริ่มขึ้นเมื่อปีพ.ศ. 2505 เอส-65 ของซิคอร์สกี้ถูกเลือกให้ได้ทำสัญญา โดยเอาชนะซีเอช-47 ชีนุกรุ่นดัดแปลงของโบอิง ต้นแบบคือวายซีเอช-53เอได้ทำการบินครั้งแรกในัวนที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2507[2] มันถูกเรียกว่า"ซีเอช-53เอ ซีสตัลเลียน"และเริ่มส่งมอบในปีพ.ศ. 2509[3] ซีเอช-53เอลำแรกใช้เครื่องยนต์เจเนรัล อิเลกทริก ที64-จีอี-6 สองเครื่องยนต์ โดยให้กำลัง 2,850 แรงม้า น้ำหนักสูงสุด 20,865 กิโลกรัม รวมทั้งของบรรทุกอีก 20,00 กิโลกรัม[4]

ซีเอช-53เอมีหลายรุ่น เช่น อาร์เอช-53เอ/ดี เอชเอช-53บี/ซี ซีเอช-53ดี ซีเอช-53จี และเอ็มเอช-53เอช/เจ/เอ็ม อาร์เอช-53เอและอาร์เอช-53ดีถูกใช้โดยกองทัพเรือสหรัฐในการกวาดทุ่นระเบิด ซีเอช-53ดีมีเครื่องยนต์ที64 ที่ทรงพลังกว่า โดยถูกใช้ในรุ่นเอช-53 ทั้งหมด และมีถังเชื้อเพลิงด้านนอก ซีเอช-53จีนั้นถูกสร้างให้กับเยอรมนี[2]

เอชเอช-53บี/ซี ซูเปอร์จอลลีไจแอนท์ของกองทัพอากาศสหรัฐเป็นรุ่นสำหรับปฏิบัติการพิเศษและถูกใช้ครั้งแรกในสงครามเวียดนาม เอ็มเอช-53เอช/เจ/เอ็ม เพฟโลว์ของกองทัพอากาศเป็นเอช-53 รุ่นสุดท้ายที่มีสองเครื่องยนต์และมีระบบอิเลกทรอนิกอากาศพิเศษ

เอช-53อี

ในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2510 นาวิกโยธินสหรัฐต้องการเฮลิคอปเตอร์ที่สามารถบรรทุกได้มากกว่าซีเอช-53ดี 1.8 เท่า ซึ่งจะเข้ามาทำหน้าที่ยานจู่โจมสะเทินสะเทินบก กองทัพเรือและกองทัพบกสหรัฐก็มองหาเฮลิคอปเตอร์ที่คล้ายกันในเวลานั้น ก่อนหน้านั้นซิคอร์สกี้ได้ทำงานเกี่ยวกับการพัฒนาซีเอช-53ดี โดยใช้ชื่อว่า"เอส-80" โดยมีจุดเด่นที่เครื่องยนต์เทอร์โบชาฟท์เครื่องที่สามและระบบใบพัดที่ทรงพลังกว่าเดิม ซิคอร์สกี้ยื่นแบบเอส-80 ให้กับนาวิกโนธินในปีพ.ศ. 2511 พวกเขาชอบมันตรงที่มันขนส่งได้อย่างรวดเร็ว และเริ่มลงทุนเพื่อพัฒนามันต่อ[5]

ในปีพ.ศ. 2513 ด้วยแรงกดดันจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมสหรัฐที่ต้องการให้มีการสร้างโบอิง เวอร์ทอล เอ็กซ์ซีเอช-62 ให้กับกองทัพบก กองทัพเรือและนาวิกโยธินสามารถแสดงให้เห็นว่าเฮลิคอปเตอร์ของกองทัพบกนั้นใหญ่เกินไปที่จะลงจอดบนเรือและช้าเกินไปที่จะไล่ตามเฮลิอปคอปเตอร์ของพวกเขา[5] การทดสอบต้นแบบได้มีการตรวจสอบเครื่องยนต์ที่สามและระบบใบพัดที่ใหญ่ขึ้นด้วยการเพิ่มใบพัดใบที่ 7 เข้าไปเมื่อต้นทษวรรษที่ 2513 ในปีพ.ศ. 2517 วายซีเอช-53อีก็ขึ้นบินเป็นครั้งแรก[6]

การเปลี่ยนแปลงของซีเอช-53อีนั้นมีทั้ง ระบบส่งกำลังที่ทรงพลังและลำตัวที่ขยายออกอีก 1.88 เมตร ใบพัดหลักถูกเปลี่ยนเป็นไทเทเนียมผสมกับไฟเบอร์กลาส[5] ส่วนหางก็ถูกเปลี่ยนแปลงเช่นกัน แพนหางแนวนอนส่วนล่างถูกแทนที่ด้วยหางแนวตั้งที่ใหญ่กว่า นอกจากนี้ยังมีระบบควบคุมการบินอัตโนมัติแบบใหม่ถูกใส่เข้าไปด้วย[6] ระบบควบคุมการบินดิจิตอลทำให้นักบินไม่ต้องทำงานหนักจนเกินไป[5]

การทดสอบวายซีเอช-53อีแสดงให้เห็นว่ามันสามารถยกของได้ถึง 17.8 ตัน (ห่างจากพื้นถึงล้อ 15 เมตร) และสามารถทำความเร็ว 310 กิโลเมตรต่อชั่วโมงด้วยน้ำหนัก 56,000 ปอนด์ได้โดยไม่มีการบรรทุกภายนอก สิ่งนี้นำไปสู่เฮลิคอปเตอร์สองลำที่สร้างก่อนการผลิตและบทความจากการทดสอบ ในเวลานี้เองที่ส่วนหางถูกปรับเปลี่ยนให้มีตำแหน่งสูงขึ้น แพนหางแนวนอนหันหน้าเข้าใบพัด โดยทำมุม 20 องศา[6]

ซีเอช-53อีขณะทำการบินทดสอบ มันแสดงให้เห็นเครื่องยนต์ทั้งสามและส่วนหางแบบสุดท้าย

การผลิตถูกทำสัญญาในปีพ.ศ. 2521 และนำเข้าประจำการหลังเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2524[5] ซีเอช-53อีลำแรกที่ผลิตทำการบินในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2523[6] กองทัพเรือสหรัฐได้รับซีเอช-53อีในจำนวนที่น้อย นาวิกโยธินได้รับไปทั้งสิ้น 177 ลำ[5]

กองทัพเรือต้องการซีเอช-53อีสำหรับการกวาดทุ่นระเบิด โดยใช้ชื่อว่า"เอ็มเอช-53อี ซีดรากอน" ส่วนที่ยื่นออกมาด้านข้างถูกขยายเพื่อให้มันบรรทุกเชื้อเพลิงได้มากขึ้นและทนทานขึ้น มันยังมีระบบเติมเชื้อเพลิงทางอากาศและสามารถติดตั้งถังเชื้อเพลิงขนาด 300 แกลลอนไว้ภายในได้ เอ็มเอช-53อีมีระบบควบคุมการบินแบบดิจิตอลที่มีจุดเด่นในการใช้เครื่องมือกวาดทุ่นระเบิด[5] เอ็มเอช-53อีลำต้นแบบทำการบินครั้งแรกในวันที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2544 เอ็มเอช-53อีถูกใช้โดยกองทัพเรือเมื่อเริ่มปีพ.ศ. 2529 เอ็มเอช-53อีสามารถเติมเชื้อเพลิงกลางอากาศและลอยตัวอยู่[6] กองทัพเรือได้รับซีดรากอนทั้งสิ้น 46 ลำ และดัดแปลงอาร์เอช-53ดีลำที่เหลือให้กลับไปทำหน้าที่ขนส่งดังเดิม[5]

เอ็มเอช-53อี ซีดรากอนจากเอชเอ็ม-15 ขณะทำการซ้อมกวาดทุ่นระเบิดในปีพ.ศ. 2550

นอกจากนี้เอ็มเอช-53อีจำนวนมากถูกส่งออกให้กับญี่ปุ่นโดยใช้ชื่อว่าเอส-80-เอ็ม-1 เพื่อใช้ในกองกำลังป้องกันตนเองทางทะเลของญี่ปุ่น

ซีเอช-53อีนั้นทำหน้าที่ทั้งในกองทัพเรือและนาวิกโยธินสหรัฐในบทบาทขนส่งขนาดหนัก มันสามารถยกอุปกรณ์หนักๆ เช่น ยานหุ้มเกราะขนาดเบาแอลเอวี-25 ปืนฮาวไอเซอร์เอ็ม198 ขนาด 155 ม.ม.พร้อมทั้งพลปืนและกระสุน และสามารถยกอากาศยานทั้งหมดของนาวิกโยธินได้ยกเว้นเคซี-130

ซีเอช-53เค

ดูบทความหลักที่: ซิคอร์สกี้ ซีเอช-53เค

นาวิกโยธินสหรัฐได้วางแผนทำการพัฒนาซีเอช-53 ส่วนใหญ่ของพวกเขาเพื่อยืดอายุการใช้งาน แต่แผนก็ต้องพบกับอุปสรรค จากนั้นซิคอร์สกี้ก็ได้ยื่นข้อสเนอเป็น"ซีเอช-53เอ็กซ์" และในที่สุดเมื่อถึงเดือนเมษายน พ.ศ. 2549 นาวิกโยธินก็ทำสัญญาเพื่อซื้อ"ซีเอช-53เค" 156 ลำ[7][8] นาวิกโยธินกำลังวางแผนที่จะเริ่มปลดประจำการซีเอช-53 ในปีพ.ศ. 2552 และต้องการเฮลิคอปเตอร์แบบใหม่อย่างเร็วที่สุด[9]

ในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2550 นาวิกโยธินสหรัฐได้เพิ่มจำนวนซีเอช-53เคเป็น 227 ลำในรายการสั่งซื้อ[10] มันถูกคาดว่าจะทำการบินครั้งแรกในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2554 และเริ่มทำให้มันเข้าประจำการได้ในปีพ.ศ. 2558[11] การส่งมอบจะเริ่มขึ้นในปลายปีพ.ศ. 2565[9]

แหล่งที่มา

WikiPedia: ซีเอช-53อี ซูเปอร์สตัลเลียน http://192.156.19.102/factfile.nsf/7e931335d515626... http://avtoday.com/rw/military/heavylift/14482.htm... http://www.cnn.com/2005/WORLD/meast/01/26/iraq.mai... http://www.ctnewsjunkie.com/corporate_watch/sikors... http://www.flightglobal.com/articles/2007/06/21/21... http://www.koskoff.com/news/detail.cfm?aID=130&t=S... http://www.navytimes.com/news/2008/01/ap_seahawk_0... http://www.sikorsky.com/sik/about_sikorsky/news/20... http://www.sikorsky.com/sik/about_sikorsky/news/20... http://www.sikorsky.com/sik/products/military/ch53...